การปรับสีผิว ของการแต่งหน้าถือเป็นเทรนด์ใหม่ที่น่ายกย่องที่สุดของความงาม

ในช่วงเวลาหนึ่ง จุดประสงค์เดียวของรองพื้นคือการมาส์กผิว ในขณะที่สีสันที่สดใสเป็นเพียงการตกแต่งเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากผลิตภัณฑ์ดูแลผิวกลายเป็นจุดสนใจมากขึ้นในกิจวัตรความงามของเราหลังการแพร่ระบาด การแต่งหน้าจึงถูกบังคับให้มีวิวัฒนาการ แทนที่จะใช้พื้นผิวที่หนาและทึบแสง เบสและบลัชออนของเรากลับกลายเป็น ‘สกินนิ่ง’ มากขึ้นเพื่อให้เหมาะกับกิจวัตรที่คล่องตัวยิ่งขึ้นของเรา

นี่คือการเคลื่อนไหวที่ Newby Hands ผู้อำนวยการด้านความงามระดับโลกของ Net-A-Porter สรุปว่าเป็นเทรนด์ของ ‘สกินสถานะ’ ที่ไม่มีทีท่าว่าจะชะลอตัวลง “บางทีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดที่เราเคยเห็นและยังคงพัฒนาต่อไปก็คือการที่ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวกลายเป็นเครื่องสำอางใหม่

สำหรับหลายๆ คนไปแล้ว” Hands กล่าว พร้อมเสริมว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้มีลูกค้าที่ซื้อเบสสีอ่อนกว่าและรองพื้นแบบสีเพิ่มมากขึ้น

เครื่องช่วยฟัง     ตรงกันข้ามกับรองพื้นแบบปกปิดเต็มรูปแบบ “เป็นเรื่องน่ายินดีที่ได้เห็นคน Gen Z และผู้บริโภครุ่นมิลเลนเนียลอายุน้อยเป็นผู้นำของขบวนการนี้ โดยเป็นเจ้าของผิวตามธรรมชาติและตัวตนที่แท้จริง ลูกค้าไม่ต้องการปกปิดผิวอีกต่อไป”

ทำความรู้จักกับส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ดูแลผิวแห่งอนาคตที่เปลี่ยนโฉมหน้าแห่งความงาม เข้าสู่ผลิตภัณฑ์ไฮบริดที่ทำงานได้หลายอย่างพร้อมกัน โดยเพิ่มคุณประโยชน์ในการดูแลผิวให้กับสูตรการแต่งหน้าเพื่อยกระดับประสบการณ์และปรับปรุงคุณภาพผิวของคุณอย่างเห็นได้ชัดทุกครั้งที่สวมใส่ แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่เลย

ในความเป็นจริง มันเป็นเป้าหมายของ Gucci Westman ช่างแต่งหน้าของ Jennifer Anniston ที่จะเปิดตัวแบรนด์ Westman Atelier ของเธอเอง

ซึ่งมีส่วนผสมที่ดีต่อผิวและสะอาด พร้อมสโลแกน ‘Consciously Crafted Beauty’ ในปี 2019 ซึ่งรวมถึงสารต้านอนุมูลอิสระและผิวหนัง กรดไฮยาลูโรนิกอวบอิ่มใน Super Loaded Tinted Highlight ซึ่งมอบความเปล่งประกายที่น่าอิจฉาให้กับโหนกแก้มและเปลือกตา Westman เรียก Vital Skin Foundation Stick ของเธอว่าเป็น “สูตรผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่แท้จริง”

เนื่องจากมีสควาเลนจากผัก ไฟโตสฟิงโกซีน และสารสกัดเซลล์ราสเบอร์รี่ในสูตรที่ช่วยรักษาความชื้นและความยืดหยุ่นของผิว “พวกมันช่วยทำให้จิตใจสงบและผ่อนคลายจริงๆ” เวสต์แมนอธิบาย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเธอในฐานะที่เป็นโรคโรซาเซีย

แต่ตอนนี้กระแสดังกล่าวกลายเป็นกระแสหลัก โดยมีความเข้มข้นของผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งท่วมท้นในผลิตภัณฑ์แต่งหน้าของอุตสาหกรรม

ตามชื่อที่สื่อถึง NU Bare Look Skin Tint ใหม่ของ YSL Beauty จะสร้างเบสที่แทบไม่มีเลยซึ่งช่วยให้กระส่องผ่านได้ และมีเบสสกินแคร์ร้อยละ 90 ที่ผสมด้วยกลีเซอรีน กรดไฮยาลูโรนิก และมาร์ชเมลโลว์ ในทำนองเดียวกัน No.1 de Chanel Revitalizing Foundation ของ Chanel ก็เต็มไปด้วยสารสกัดจากดอกคามิเลียสีแดงอันทรงพลังแบบเดียวกับที่ใช้ในกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิว

สารสกัดจากพฤกษศาสตร์นี้มีความเข้มข้นสูงของกรดโปรโตคาเทชูอิก ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งยังพบว่าสามารถชะลอการชราภาพของเซลล์ ซึ่งเป็นกระบวนการทางธรรมชาติที่เซลล์ผิวที่แก่ชราจะหยุดการแบ่งตัวและนอนเฉยๆ ขัดขวางเซลล์ที่แข็งแรงอื่นๆ และทำให้เกิดความแห้งกร้าน และความหย่อนคล้อยของผิวหนัง

คุณแม่ที่อยากลดน้ำหนัก ลองทำตามนี้ดูนะ

แม่ๆ ที่อยากลดน้ำหนักหรือลดความอ้วนหลังจากการคลอดลูกน้อยออกมา สามารถทำได้นะ และเชื่อว่าแม่แม่จะสามารถกลับไปมีหุ่นหรือน้ำหนักที่แม่แม่ พอใจได้อย่างแน่นอน แต่แม่แม่อย่าใจร้อนนะ  คุณแม่ที่อยากลดน้ำหนัก    ค่อยเป็นค่อยไปนะ ไปเราไปลองทำตามกันเลย

-เปลี่ยนอาหารการกิน

แม่แม่ที่อยากจะลดน้ำหนักหรือลดไขมัน ไม่ได้ยากอย่างที่คิดนะ ลองเริ่มจากการที่เราต้องปรับอาหารเพื่อให้นมลูกน้อยหรือต้องทำอาหารให้ลูกเอาได้เลยนะ  เพราะว่าเราจะเลือกอาหารที่ดีหรือทำอาหารที่ดีสำหรับร่างกายและสุขภาพที่ดีของลูกน้อยอยู่แล้ว ดังนั้นเราปรับตามลูกได้เลย เพราะว่าการที่เราปรับมากินอาหารที่ดีนั้นดีที่สุดสำหรับคุณแม่หลังคลอดและคุณแม่ที่ต้องทำอาหารให้ลูกๆละ

-ดื่มน้ำให้มากๆ

แม่แม่ที่ต้องให้นมหรือปั้มนมให้ลูกน้อยจะหนีไม่พ้นเรื่องการดื่มน้ำแน่นอน แต่ในความเป็นจริงการดื่มน้ำเยอะๆ เป็นเรื่องที่ดีต่อคุณแม่อยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นเรื่องผิวพรรณ หรือ ระบบต่างๆของร่างกาย และยังสามารถช่วยทำให้แม่แม่ลดหรือควบคุมน้ำหนักให้ดีได้ด้วยอีกนะ เพราะฉะนั้นดื่มน้ำให้มากๆ นะ

-เคลื่อนไหวให้มากๆหรืออกกำลังกายเบาๆ 

เชื่อว่าแม่แม่ทีต้องดูแลลูกน้อยหรือลูกที่โตขึ้นมาสักหน่อย จะได้เคลื่อนไหวร่างกายแทบทั้งวันอย่างแน่นอน เพราะว่าต้องดูแลลูกตั้งแต่เช้าจนเค้าเข้านอนเลยละ ซึ่งการเคลื่อนไหวเยอะๆจะช่วยทำให้เผาผลาญไขมันให้คุณแม่ได้ด้วยนะ หรือ หากคุณแม่มีเวลาอีกสักหน่อยลองออกกำลังกายแบบเบาๆ เอาด้วยก็ดี่นะ จะยิ่งช่วยหกระชับและเผาผลาญไขมันดีละ

-งดเครื่องดื่มหวานๆมันๆ

เพื่อนๆและสาวๆ รู้ใช่ไหมว่า แม่แม่ที่เพิ่งคลอดลูกน้อยต้องดูแลลูกน้อยด้วยน้ำนมจะไม่สามารถกินเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนก็ดี หรือนมสดมันๆ เพราะว่าอาจจะทำให้ลูกน้อยรับคาเฟอีนและนมที่มีการแปรรูปมา ทำให้เกิดอาการแพ้ได้นั้นเอง  เครื่องช่วยฟัง    ดังนั้นแม่แม่จะงดหรือเลิกเครื่องดื่มหวานๆ หรือมันๆไปในตัวช่วงนี้เลย ก็จะทำให้แม่แม่ลดน้ำหนักหรือลดไขมันได้ดีเลยละ

-เน้นการกินผักและผลไม้

แม่แม่ที่ต้องการฝึกให้ลูกน้อยกินผักเป็น หรือผลไม้ได้หลากหลาย เราต้องเป็นตัวอย่างให้ลูกๆ อยู่แล้ว ดังนั้น แม่แม่ต้องหันมากินผักให้หลากหลายเพื่อลูกๆ และผลพลอยได้แม่แม่ก็จะมีระบบขับถ่ายที่ดีอีกด้วย และผลไม้ก็เลือกกินหลากหลายเช่นกันนะ แต่กินเน้นเป็นผลไม้ไม่ค่อยหวานนะ

รายงานการหยุดชะงักของยาหลายฉบับ

รายงานการหยุดชะงัก Thompson ไม่ใช่ผู้ป่วยเพียงรายเดียวที่รายงานความล่าช้าหรือการหยุดชะงักในการเข้าถึง methotrexate ตามที่มูลนิธิโรคข้ออักเสบโดยรวมแล้ว เรารวบรวมคำตอบจากผู้ป่วยได้ประมาณ 523 รายทั่วประเทศ

โดย 16 รายระบุว่ามีปัญหาในการรับยาตั้งแต่การตัดสินใจของ Dobbs” ไฮด์กล่าว “คำตอบทั้ง 16 ข้อมาจากรัฐที่มีข้อจำกัดหรือคำสั่งห้ามทำแท้ง รวมถึงแอริโซนา ไอดาโฮ มิสซูรี เซาท์แคโรไลนา ยูทาห์ เทนเนสซี และเท็กซัส” มูลนิธิ Crohn’s & Colitis ยังได้เฝ้าติดตามการหยุดชะงักของการเข้าถึง methotrexate ในหมู่ผู้ที่เป็นโรค Crohn หรืออาการลำไส้ใหญ่บวมเป็นแผลซึ่งเป็นโรคลำไส้อักเสบทั้งสองรูปแบบเราทราบถึงกรณีต่างๆ

ที่ได้รับการบันทึกไว้ในที่สาธารณะ และมูลนิธิ Crohn’s & Colitis กำลังติดตามปัญหาอย่างใกล้ชิดเพื่อกำหนดขอบเขตของการหยุดชะงัก และเพื่อสนับสนุนผู้ป่วยที่อาจถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าถึง” ลอร่า วินเกท รองประธานบริหารฝ่ายการศึกษา

การสนับสนุนและการสนับสนุนที่มูลนิธิ Crohn’s & Colitis บอก Healthline “การสนทนาอย่างต่อเนื่องของเรากับผู้ให้บริการทางการแพทย์และผู้ป่วยไม่ได้ระบุในทันทีว่าการหยุดชะงักของยาดังกล่าวสำหรับผู้ป่วยโรคลำไส้อักเสบเรื้อรังเป็นปัญหาที่แพร่หลายในปัจจุบัน” เธอกล่าวเสริม

ผลกระทบด้านลบต่อผู้ป่วยและผู้ให้บริการ เมื่อการเข้าถึง methotrexate ล่าช้าหรือหยุดชะงัก อาจส่งผลเสียต่อผู้ป่วยที่ใช้ยานี้เพื่อรักษาอาการอักเสบจากภาวะเรื้อรังผู้ป่วยควรได้รับการรักษาตามแพทย์สั่งตามคำแนะนำของแพทย์ แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีอาการก็ตาม

เพื่อป้องกันไม่ให้โรคเริ่มลุกลาม” Wingate กล่าว “ความล่าช้าอย่างมากหรือการปฏิเสธการรักษาอาจเพิ่มกิจกรรมของโรค และการอักเสบที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้อาการแย่ลง

ผู้ป่วยอาจต้องไปห้องฉุกเฉิน เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล หรือต้องผ่าตัด” แม้แต่ความล่าช้าในระยะสั้นอาจส่งผลเสียต่อผู้ป่วยและครอบครัวโดยทำให้เกิดความเครียด ความไม่แน่นอน และความท้าทายที่เพิ่มขึ้นในการจัดการโรค เนื่องจากขาดความชัดเจนในถ้อยคำของกฎหมายที่จำกัดยาที่ทำให้เกิดการแท้ง แพทย์และเภสัชกรอาจต่อสู้กับความไม่แน่นอนในเรื่องที่พวกเขาสามารถสั่งจ่ายยาหรือจ่ายยาอย่างถูกกฎหมาย เช่น เมโธเทรกเซตได้ 

สมาชิกและผู้ป่วยของเรารายงานว่าความไม่แน่นอนนี้กำลังรบกวนการดูแล ผู้ป่วยที่ใช้ยาเหล่านี้ด้วยเหตุผลที่ไม่เกี่ยวข้องกับการยุติการตั้งครรภ์รายงานความท้าทายใหม่ในการเข้าถึงยาเหล่านี้และยาอื่น ๆ และทำให้สุขภาพของผู้ป่วยตกอยู่ในความเสี่ยง” American Medical Association, American Pharmacists Association, American Society of Health-System เภสัชกรและสมาคมเภสัชกรชุมชนแห่งชาติในแถลงการณ์ร่วม

แหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ ออกเมื่อเดือนกันยายนผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพหลายคน รวมถึงแพทย์และเภสัชกร ไม่แน่ใจในความรับผิดทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการสั่งจ่ายยาและ/หรือการจ่ายยาเหล่านี้ ไม่ว่าจะใช้เพื่อการทำแท้งหรือสิ่งบ่งชี้อื่น ๆ ก็ตาม” ถ้อยแถลงกล่าวเสริม

 

สนับสนุนโดย.    เครื่องช่วยฟัง

อย่าใส่คอนแทคเลนส์เข้านอน

จะมีใครนั้นรู้ไหมว่าการที่เรานั้นใส่คอนแทคเลนส์ในขณะที่เรานั้นเข้านอนมันดีหรือว่าไม่ดีเพราะว่าอะไรทำใมซึ่งส่วนตัวเรานั้นจะใส่ในปกติแต่เรานั้นไม่เคยที่จะใส่ในตอนนอนแล้ววันนี้เรานั้นจะมาคำตอบว่าเพราะอะไรซึ่งเรานั้นไปหาข้อมูลมาให้อ่านกันง่ายๆดังนี้ 

     เมื่อพอถึงเวลาที่เรานั้นเหนื่อยล้าจากการทำงานสิ่งสุดท้ายที่เราต้องทำก่อนที่เรานั้นจะล้มตัวลงนอนบนที่นอนนั้นก็คือการที่เราต้องถอดคอนแทคเลนส์ออก ไม่ใช่แค่คุณเพียงคุณเดียวที่ทำเช่นนี้ เรานั้นมีการรายงานว่าประมาณ 1 ใน 3 ที่เข้านอนหรือว่าแค่งีบหลับในขณะที่ยังใส่คอนแทคเลนส์อยุ่

ซึ่งเราได้รายงานจากศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคกล่าวว่า คนที่มีพฤติกรรมเช่นนี้จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคตาติดเชื้อ 6-8 เท่า ในพฤติกรรมที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเนื่องมาจากการที่เรานั้นใช้คอนแทคเลนส์ขณะที่เรายังนอนหลับอยู่ทั้งๆที่เรานั้น

ไม่ได้ถอดออกเป็นการกระทำที่เสี่ยงที่สุด และเรานั้นก็พบได้บ่อยมากให้กลุ่มของวัยรุ่น และกลุ่มผู้ใหญ่ที่ใช้คอนแทคเลนส์เรื่องตาที่เรานั้นมองไม่เห็นทำให้เรานั้นรู้สึกว่าเรานั้นทรมานอย่างมากการที่เรานั้นเชื้อคือการที่กระจกตานั้นอักเสบติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งพบมากในคนที่ใส่คอนแทคเลนส์ ซึ่งสถาบันคนแทคเลนส์ไม่ได้มีบทบาทในรายงานนี้ นักวิจัยได้นำเสนอคนไข้ 6 คน

ที่นอนหลับพร้อมใส่คอนแทคเลนส์แล้วเกิดกระจกตาอักเสบผลของการติดเชื้อทำให้เนื้อเยื่อกระจกตาถูกทำลายสูญเสียการมองเห็นสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรและต้องรับการผ่าตัด หนึ่งในคนไข้ดังกล่าว เป็นชายอายุ 34 ปี ที่คอนแทคเลนส์นอน 3-4 คืน และใส่ว่ายน้ำ เข้าได้ไปหาหมอพร้อมอาการตาแดงและมองไม่ชัด

เขาได้รับการรักษาโรคกระจกตาอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา เป็นเวลา สองเดือนแต่อาการของเขาไม่ดีขึ้นแต่กลับกลายเป็นว่า เขาติดเชื้อที่หาได้ยากคือโรคเยื่อตาอักเสบซึ่งมีสาเหตุมาจากอะมีบาซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตแบบเซลเดียว

แม้ว่าจะมีการรักษาแบบใหม่ซึ่งคนไข้ก็ได้สูญเสียการมองเห็นและต้องเปลี่ยนไปใช้คอนแทคเลนส์แบบแข็ง  แต่ว่าเลนส์บางประเภทได้รับอนุญาตจากองค์การอาหารและยา ว่าสามารถใส่ค้างคืนได้ แม้จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อก็ตามรายงานกล่าวไว้ เลนส์ที่ใส่ค้างคืนได้ถือว่าเป็นเครื่องมือแพทย์ระดับ 3 ซึ่งมีความเสี่ยงสูงสุดซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับเครื่องควบคุมการเต้นของจังหวะหัวใจ

การที่เรานั้นจะใส่คอนแทคเลนส์เราต้องทำตามขั้นตอนง่ายๆเพื่อที่จะป้องกันการนำไปใช้อย่าผิดๆการที่เราจะใส่คอนแทคเลนส์นั้นเราจะใส่นอนหรือว่าว่ายน้ำนั้นเราต้องควรที่จะปรึกษาแพทย์หรือไม่อย่างนั้นเราก็ต้องถอดคอนแทคเลนส์ออกแล้วก็เปลี่ยนตลับใส่เลนส์เมื่อได้รับคำแนะนำให้เปลี่ยน

 

สนับสนุนโดย  เครื่องช่วยฟัง

หูชั้นกลางของมนุษย์ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง

หูชั้นกลางของมนุษย์นั้นจะมีลักษณะเป็นโพรง และติดต่อกับโพรงจมูกและมีท่อติดต่อกันกับคอหอยที่เรียกว่า ท่อยูสเตเชียน ซึ่งปกติท่อนี้จะปิด แต่ว่าในขณะเคี้ยวหรือกลืนอาหารท่อนี้ก็จะขยับเปิดเพื่อปรับความดันของหู ทั้ง 2 ด้านของเยื่อแก้วหูให้เท่ากัน

เพราะ ถ้าหากความดันไม่เท่ากัน ก็จะทำให้หูอื้อได้ ส่วนความแตกต่างระหว่างความดันอากาศภายนอกและความดันอากาศภายในหูชั้นกลางนั้นอาจทำให้เยื่อแก้วหูถูกดันให้พองออกหรือถูกดันเข้าได้ ซึ่งจะทำให้การสั่นและการนำเสียงของเยื่อแก้วหูลดลงและหากว่ามีการอุดตันของท่อนี้ก็จะทำให้หูอื้อหรือปวดหูได้นั้นเอง

ร่างกายจึงมีการปรับความดันในช่องหูชั้นกลางโดยจะผ่านแรงดันอากาศบางส่วนไปทางท่อยูสเตเชียน ซึ่งถ้าหากมีเชื้อโรคในคอหรือในจมูกก็จะมีผลให้เชื้อโรคเข้าสู่หูชั้นกลางทางท่อนี้ซึ่งจะทำให้เกิดการอักเสบในหูได้ง่ายขึ้นนั้นเอง ฉะนั้นก็ต้องดูแลให้ดีไม่ให้มีเชื้อโรคที่คอ

หรือจมูกเพื่อเลี่ยงไม่ให้เกิดการติดเชื้อ ส่วนโครงสร้างของอวัยวะในหูชั้นกลางที่สำคัญนั้น จะมีดังต่อไปนี้  กระดูกภายในหูชั้นกลางก็ประกอบด้วย กระดูกค้อน กระดูกทั่ง กระดูกโกลน กระดูกทั้ง 3 ชิ้น จะยึดติดกันเป็นระบบ เพื่อจะนำคลื่นเสียงที่มากระทบกันเข้าไปสู่หูชั้นในนั้นเอง ส่วนกล้ามเนื้อของหูชั้นกลางนั้น จะมี 2 มัด กล้ามเนื้อทั้งสองมันนี้จะมีหน้าที่ทำให้แก้วหูที่อยู่ในหูนั้นตึง

โดยถูกดึงเข้าข้างใน ซึ่งจะช่วยทำให้เพิ่มความถี่ให้กับ เสียงสะท้อนของระบบการนำเสียงซึ่งจะทำให้รับเสียงที่มีความถี่ต่ำและรับเสียงได้ดีขึ้น และเพื่อช่วยป้องกันหูชั้นในจากเสียงที่ดังมากๆจากสิ่งแวดล้อมภายนอก

ซึ่งถ้าหากหูของเราได้รับเสียงที่ดังๆมากๆเป็นเวลานานอาจะทำให้หูเกิดอาการเจ็บหรือหูดึงได้ ซึ่งจะเห็นได้ว่าการทำงานของกล้ามเนื้อทั้งสองมัดก็จะช่วยปรับและป้องกันการกระเทือนต่อหูชั้นกลางและหูชั้นในที่มีสาเหตุจากเสียงที่ดังมากๆ

โดยเฉพาะเสียงที่มากระทบกับเยื่อแก้วหูซึ่งมีความดังเกิน 85 เดซิเบลนั้นเอง เนื่องจากว่าโครงสร้างของหูชั้นกลางที่ติดต่อกับหูชั้นนอกที่อยู่ใกล้กับเยื่อแก้วหู และติดต่อกับคอ ทางท่อยูสเตเชี่ยน ติดต่อกับหูชั้นในทางหน้าต่างรูปไข่ และหน้าต่างรูปกลม

โดยทั้งช่องหน้าต่างรูปไข่และรูปกลมนั้นก็จะมีเยื่อบางๆ กั้นอยู่ ซึ่งช่วยให้หูชั้นกลางสามารถทำหน้าที่สำคัญทั้ง2 อย่างได้อย่างมีประสิทธิภาพก็คือ การขยายเสียง และการป้องกันเสียงดังนั้นเอง

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  เครื่องช่วยฟัง

ใครที่จำเป็นต้องการใช้เครื่องช่วยฟัง

     เมื่อพูดเครื่องช่วยฟัง เราจะรู้ได้ทันทีว่าอุปกรณ์ที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้เป็นอุปกรณ์ที่ใช้กับหู และต้องเกี่ยวข้องกับการได้ยิน

ซึ่งปัญหาการได้ยินเป็นปัญหาใหญ่ของทุกคนปัญหาหนึ่ง กลุ่มคนที่สูญเสียการได้ยินในทางการแพทย์ถือได้ว่าบุคคลกลุ่มนั้นจัดอยู่ในกลุ่มของคนพิการกลุ่มหนึ่งเลยก็ว่าได้ ถึงแม้อาการผิดปกตินี้เราจะไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าว่าพิการได้ ไม่เหมือนกันการพิการ แขน ขา   

สำหรับปัญหาการได้ยินมีการแบ่งไว้หลายระดับ ตั้งแต่ระดับการได้ยินเสียงเล็กน้อย จนถึงระดับที่มีความรุนแรงมากจนไม่ได้ยินเสียงเลย ซึ่งคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับการได้ยิน สามารถแบ่งออกได้สองกลุ่ม คือ กลุ่มแรกคือกลุ่มที่พบความผิดปกตินี้ตั้งแต่อยู่ในท้องของแม่แล้ว

ซึ่งเมื่อคลอดออกมาความผิดปกตินี้ยังคงอยู่ และส่วนใหญ่หากมีความผิดตั้งแต่อยู่ในท้อง เมื่อคลอดออกมาก็จะส่งผลต่อตัวของเด็กและยังก่อให้เกิดปัญหาตามมาอีกหลายอย่าง เช่น เด็กจะมีพัฒนาการช้า ทั้งเรื่องการพูดคือพูดช้า หรือพูดไม่ชัด หรือบางคนไม่ยอมพูดเลย

และเมื่อโตขึ้นมาจะมีผลต่อการสื่อสารกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง ส่งผลให้การเรียนย่ำแย่ และการหางานทำจะหาได้ยากมาก รวมถึงหากยังเป็นแบบนี้ต่อไปยังสามารถเกิดปัญหาเป็นโรคซึมเศร้าตามมาได้อีกด้วย ส่วนกลุ่มที่สองคือ กลุ่มคนที่ตอนคลอดออกมาแล้วปกติ

แต่เมื่อโตขึ้นมาแล้วมีปัญหาเกี่ยวกับหู เช่น เกิดอุบัติเหตุแล้วมีผลกระทบกับหูโดยตรง เช่น อาจโดนตบหู หรือล้มหัวฟาดพื้นแล้วกระเทือนต่อระบบหู  หรือคนที่มีสาเหตุมาจากการเจ็บป่วยจากโรคต่าง แม้แต่การเป็นไข้หวัดก็ยังสามารถส่งผลให้หูได้รับการบาดเจ็บภายในจนมีผลต่อการได้ยินได้ ยังมีคนทีชอบไปอยู่ในสถานที่เสียงดังมากมาก

ทำให้หูชั้นในเกิดการอักเสบ หรือการทำงานในสถานที่ที่เสียงดังมากๆก็มีต่อการได้ยินของหูเหมือนกัน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นใคร อายุเท่าไหร่ เพศไหน อาชีพอะไร ก็เสี่ยงที่จะต้องใช้เครื่องช่วยฟังได้เหมือนกัน นอกจากนี้คนเราทุกคน เมื่อมีอายุมากขึ้นประสิทธิภาพในการรับฟังก็จะลดลง โดยส่วนมากคนสูงอายุมักจะเป็นโรคหูตึง อาจมีตึงมากหรือตึงน้อย ซึ่งก็ขึ้นอยู่ว่าก่อนหน้านั้นมีการใช้หูเพื่อรับฟังเสียงดังมานานมากแค่ไหนแล้ว 

       กลุ่มคนที่กล่าวมาทั้งหมดล้วนมีความจำเป็นที่ต้องใช้เครื่องช่วยฟังทั้งสิ้น  และการเลือกใช้เครื่องช่วยฟังของแต่ละคนก็แตกต่างกันซึ่งต้องขึ้นอยู่กับปัญหาที่เกิดขึ้นกับหูว่ามีอาการอย่างไร ดังนั้นก่อนใช้ เครื่องช่วยฟัง ควรมีการปรึกษาแพทย์ก่อน