ใครเสี่ยงเป็นมะเร็งปากมดลูก
โรคมะเร็งปากมดลูกพบในผู้หญิงตั้งแต่อายุก่อน 30 จนถึง 80 ปี โดยพบมากในช่วงอายุ 35 – 50 ปี พฤติกรรมของผู้หญิงไทยส่วนใหญ่มักคิดว่าตัวเองไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง และรู้สึกเขินอายกลัวที่จะพบแพทย์เพื่อตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ดังนั้นกว่าจะรู้ตัวว่ามีอาการผิดปกติ ความรุนแรงของโรคก็มักอยู่ในระยะลุกลามยากต่อการรักษา
ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็งปากมดลูก
โรคมะเร็งปากมดลูกมีสาเหตุหลักเกิดจาก
- การติดเชื้อไวรัส HPV (Human Papilloma Virus) ติดต่อได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ การมีคู่นอนหลายคน หรือมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายที่มีคู่นอนหลายคน
- การสูบบุหรี่
- การรับประทานยาคุมกำเนิดเป็นเวลายาวนาน
- การตั้งครรภ์หรือมีบุตรหลายคน
- ภูมิคุ้มกันไม่ดี
- การละเลยไม่ไปตรวจภายในเพื่อคัดกรองมะเร็งปากมดลูก
อาการของมะเร็งปากมดลูก
อาการมะเร็งปากมดลูกในระยะเริ่มแรกมักจะไม่มีอาการผิดปกติใดๆ แต่เมื่อมะเร็งลุกลามแล้วอาจมีเลือดออกผิดปกติจากช่องคลอด เช่น หลังจากการมีเพศสัมพันธ์ หลังหมดประจำเดือน มีตกขาว ปัสสาวะหรืออุจจาระปนเลือด ซึ่งเกิดจากมะเร็งลุกลามไปยังอวัยวะข้างเคียง
วิธีการรักษา
ระยะก่อนลุกลาม
- การตรวจภายใน การทำแพปสเมียร์ และการตรวจด้วยกล้องขยาย (Colposcope) ทุก 4 – 6 เดือน รอยโรคขั้นต่ำบางชนิดสามารถหายไปได้เองภายใน 1 – 2 ปี
- การตัดปากมดลูกด้วยห่วงไฟฟ้า
- การจี้ปากมดลูกด้วยความเย็น
- การตัดปากมดลูกออกเป็นรูปกรวยด้วยมีด
ระยะลุกลาม การเลือกวิธีรักษาขึ้นกับโรคประจำตัวของผู้ป่วยและระยะของมะเร็ง
- ระยะที่ 1 และ 2 บางราย รักษาโดยการตัดมดลูกออกแบบกว้างร่วมกับการเลาะต่อมน้ำเหลืองเชิงกรานออก
- ระยะที่ 2 – 4 รักษาโดยการฉายรังสีร่วมกับการให้ยาเคมีบำบัด
การป้องกัน
- หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง เช่น การมีคู่นอนหลายคน การมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน การสูบบุหรี่
- ตรวจคัดกรองความผิดปกติของปากมดลูก โดยการตรวจแพปสเมียร์ (Pap Smear) และ การตรวจหาเชื้อ HPV
- การฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ HPV
“โรคมะเร็งปากมดลูก สามารถป้องกันได้โดยลดพฤติกรรมเสี่ยง เพียงรู้วิธีการป้องกันตนเอง และหมั่นตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอรวมไปถึงการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อ HPV”
วัคซีนป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูก
วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก คือ วัคซีนที่สามารถป้องกันการติดเชื้อ HPV โดยฉีดทั้งหมด 3 เข็ม
เข็มแรก ฉีดเข้าที่กล้ามเนื้อ
เข็มที่ 2 ฉีดห่างจากเข็มแรก 1 – 2 เดือน
เข็มที่ 3 หลังจากฉีดเข็มแรก 6 เดือน
“วัคซีนนี้จะมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อฉีดให้กับเด็กผู้หญิงอายุ 9 – 14 ปี หรือผู้ที่ยังไม่ผ่านการเพศสัมพันธ์มาก่อน แต่หากเป็นสตรีที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว วัคซีนจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพกับผู้ที่ยังไม่มีการติดเชื้อ HPV หรือไม่มีเซลล์ผิดปกติ “
ปัจจุบันวัคซีนมี 2 ชนิด สามารถป้องกันการติดเชื้อ HPV สายพันธุ์ 16 และ 18 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ความเสี่ยงสูง โดยเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งปากมดลูกส่วนใหญ่ถึง 75% ประสิทธิภาพของวัคซีนทั้งสองชนิดในการป้องกันเชื้อไวรัสสายพันธุ์ 16 และ 18 สูงเกือบ 100% ชนิดแรกคือ
วัคซีน Cervarix (2 สายพันธุ์) อีกชนิดคือ วัคซีน Gradasil (4 สายพันธุ์) ซึ่งเพิ่มการป้องกันเชื้อ HPV สายพันธุ์ 6, 11 ที่เป็นสาเหตุของหูดหงอนไก่บริเวณอวัยวะเพศ แต่อย่างไรก็ดี นอกจากฉีดวัคซีนแล้ว ก็ควรไปตรวจภายในและตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกควบคู่กันไปด้วย เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูก