การเฝ้าระวังลดผู้ป่วยอุจจาระร่วงในไทย

การเฝ้าระวังลดผู้ป่วยอุจจาระร่วงในไทย
นายแพทย์ธีรวัฒน์ วลัยเสถียร ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ ๗ จังหวัดขอนแก่น แสดงความเป็นห่วงเป็นใยต่อการเจ็บป่วยจากโรคอุจจาระร่วงที่เกิดขึ้นเป็นหมู่คณะโดยยิ่งไปกว่านั้นเมื่อมีกิจกรรมเข้าค่าย การจัดของกินในงานสังสรรค์ หรือการจัดของกินสำหรับให้บริการพสกนิกรเยอะมากๆ ซึ่งสิ่งที่ทำให้เกิดโรคอุจจาระร่วงมักเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากของกินที่ปรุงหรือประกอบแบบไม่ถูกอนามัยรวมทั้งมีการแปดเปื้อนเชื้อโรค มีการบูด เสียระหว่างรอคอยการแจกจ่าย ด้วยเหตุว่าสภาพภูมิอากาศร้อน รวมทั้งเก็บไว้นานกว่า ๒ ชั่วโมง สำหรับเหตุการณ์เฝ้าระวังโรคอุจจาระร่วงในเขตพื้นที่ที่อยู่ในความรับผิดชอบ ในจังหวัดขอนแก่น มหาสารคาม จังหวัดกาฬสินธุ์ และก็จังหวัดร้อยเอ็ด นับจากวันที่ ๑ – ๑๑ เดือนมกราคม ๒๕๖๓ ที่ทำการป้องกันควบคุมโรคที่ ๗ จังหวัดขอนแก่นได้รับรายงานคนป่วยด้วยโรคอุจจาระร่วง ปริมาณทั้งปวง ๒,๔๖๘ ราย เจอคนเจ็บผู้หญิงมากยิ่งกว่าผู้ชาย ไม่มีรายงานคนไข้เสียชีวิต จากข้อมูลเฝ้าระวังของกรมควบคุมโรค เจอเมนูอาหารที่มักเป็นต้นเหตุของโรคอุจจาระร่วงที่เจอได้ทุกปี มี ๑๐ รายการอาหาร อาทิเช่น ลาบหมู ก้อยปลาดิบ ยำกุ้งเต้น ยำหอยแครง ข้าวผัดโรยเนื้อปู ของกินรวมทั้งของหวาน ที่ราดด้วยน้ำกะทิสด ขนมจีน ข้าวมันไก่ ตำส้ม สลัดผัก น้ำแข็ง

ก็เลยขอเน้นยำเตือนเกี่ยวกับการปรุงอาหารและจัดเตรียมน้ำดื่ม ต้องมีการให้ความรู้ความเข้าใจแก่ผู้ประกอบการที่ทำการปรุงทำกับข้าว ให้ทำตามหลักเขตสุขาภิบาลของกินอย่างเคร่งครัด ได้แก่

1. จัดระเบียบห้องครัว โรงอาหาร ระบบน้ำ การกำจัดขยะ โดยการดูแลติดตามให้ผู้ประกอบกิจการหรือ ผู้ที่เกี่ยวข้องให้ปฏิบัติการตามหลักการสุขาภิบาลของกินอย่างเคร่งครัด

2. เลือกใช้วัตถุดิบ เครื่องปรุงประกอบที่สะอาด ถูกสุขลักษณะ มีการรักษา ทรงสภาพด้วยความเย็นตามมาตรฐานของกินไม่เป็นอันตราย

3. ของกินที่มาในลักษณะของอาหารบรรจุกระป๋องหรือของกินที่ปรุงเสร็จแล้ว ควรจะพิจารณาประสิทธิภาพก่อนจะนำไปแจก

ของกินที่ใส่กล่องไม่สมควรราดบนข้าวโดยตรง ควรจะแยกใส่อาหารในถุงก๊อบแก๊บต่างหาก ควรจะเลือกเมนูอาหารจำพวกทอด ไม่มีส่วนประกอบของแป้ง น้ำกะทิ รวมทั้งควรจะบริโภคภายใน ๒ ชั่วโมง ตั้งแต่แมื่อปรุงหรือประกอบเสร็จ ที่สำคัญบนกล่องใส่ของกิน จำเป็นต้องขึ้นป้ายแสดงสถานที่ วัน/ในขณะที่ผลิต และก็วันขณะที่ควรจะบริโภค แม้พบว่าของกินไม่ถูกปาก มีกลิ่นไม่ดีเหมือนปกติ ควรจะแจ้งผู้ที่เกี่ยวข้องรู้โดยทันทีเพื่อหยุดการแจกจ่ายของกินนั้น

สำหรับราษฎรทั่วๆ ไป ขอให้ยึดหลัก “รับประทานร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ” เป็น รับประทานสุกร้อนโดยกินอาหารที่ปรุงสุกรวมทั้งปรุงเสร็จใหม่ๆถ้าเป็นของกินหลายมื้อให้อุ่นให้ร้อนหรือเดือดก่อน ใช้ช้อนกลาง ตักของกินขณะรับประทานอาหารร่วมกับคนอื่น แล้วก็ล้างมือด้วยสบู่และล้างด้วยน้ำให้สะอาดทุกคราวก่อนกินอาหารและหลังจากการใช้สุขา

ประโยชน์และโทษของมะเฟือง

ประโยชน์และโทษของมะเฟือง

มะเฟือง (Star fruit) มีมีวิตามินA วิตามินC วิตามินE โปแตสเซียม เบต้าแคโรทีน และมีเอสโตรเจนสูง
ช่วยสร้างเซลล์กระดูก ซึ่งถือเป็นประโยชน์ต่อร่างกายทั้งหมด หากรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม

การทานมะเฟือง

– ทานมะเฟืองสดๆ
– ปั่นคั้นน้ำกิน
– มะเฟืองแช่อิ่ม
– มะเฟืองอบแห้ง
– มะเฟืองกวนอบแห้ง จะได้เอสโตรเจนสูงมาก

ประโยชน์อื่นๆ ของมะเฟือง
– หมักมะเฟืองและนำน้ำมา ทำเป็นโลชั่นนบำรุงผิว จะทำให้ผิวพรรณ ได้รับเอสโตรเจน
โดยตรง และช่วยขับไล่ไรฝุ่นที่ผิวหนังได้ดีมาก
– ช่วยลบริ้วรอยแผลเป็นต่างๆ เพราะมะเฟืองนั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่มาก
– ทำเป็นเวชสำอางค์ช่วยลดการเกิดสิว จุดด่างดำจะค่อยๆจางหายไป ทำให้ใบหน้าขาวใส ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย วิธีการทำ คือ นำมะเฟืองมาผ่าแล้วแตะให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้สักครู่ล้างออก ทดลองดูก่อนนะว่าแพ้หรือไม่ ปกติผิวจะแพ้ง่ายแต่ลองใช้มะเฟืองดูไม่แพ้ จะเอามะเฟืองเข้าตู้เย็น แล้วนำมาผ่า แนบที่ใบหน้า เย็นชุ่มฉ่ำดี
มะเฟือง (Star fruit) มีฤทธิ์เป็นกรด นำมาทำความสะอาดโลหะที่เป็นสนิม และขัดทำความสะอาดทองเหลืองก็ได้

โทษของมะเฟือง
คำโบราณที่ว่าอย่ากินมะเฟืองมาก เพราะจะทำให้เลือดจาง ด้วยความที่มะเฟืองมีฤทธิ์เย็น หญิงมีครรภ์ไม่ควรกิน และมะเฟืองมีกรดออกซาลิกซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อบุคคลที่เป็นโรคไตวาย นิ่วในไตหรือผู้อยู่ภายใต้การฟอกไต

ทั้งนี้หากจะใช้มะเฟืองเพื่อประโยชน์อย่างไรก็ควรศึกษาและพิจารณาถึงเรื่องอื่นๆ ประกอบด้วย เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อเรามากกว่าโทษ

ระบบย่อยอาหาร สำคัญขนาดไหน

ระบบย่อยอาหาร เป็นระบบที่สำคัญของร่างกายอีกระบบ แต่ทุกคนก็เลือกที่จะมองข้ามมันไป ระบบย่อยอาหารแท้จริงแล้วควรที่จะใส่ใจมันเพราะว่าทุกสิ่งที่ทานเข้าไปต้องได้รับการย่อย และดูดซึมอย่างเป็นระบบ หากเกิดความผิดปกติของอวัยวะที่ใช้ในการย่อยอาหารก็จะส่งผลให้ระบบทำงานขัดข้อง จะส่งผลเสียต่อร่างกายมากมาย และอาจอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

สังเกตอย่างไรว่าระบบย่อยอาหารมีปัญหา
หากคุณกำลังประสบปัญหากชหรือเป็นอาการที่จะพูดถึงต่อไปนี้ ขอให้ทราบว่าเป็นสัญญาณเริ่มต้นที่เริ่มบ่งบอกว่าระบบย่อยอาหารของคุณอาจมีปัญหา

1. ปวดท้อง
อาการปวดท้องถือว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับคนส่วนใหญ่ โดยที่ไม่ทันใส่ใจมันว่าอาจจะมีความผิดปกติเกิดขึ้น เพราะว่าความผิดปกติเหล่านี้มักหายไป แต่ใครที่ปวดท้องที่เดิมบ่อยๆ อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงปัญหา หรือโรคร้ายอะไรบางอย่างได้

• ปวดท้องด้านขวาตอนบน อาจเกิดจากโรคตับ และถุงน้ำดี
• ปวดท้องบริเวณใต้ซี่โครง อาจเกิดขึ้นพร้อมกับอาการแสบกระเพาะอาหาร จึงอาจเป็นโรคกระเพาะ และลำไส้อักเสบ และบางครั้งโรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่ถุงน้ำดีก็อาจเกิดขึ้นในบริเวณส่วนท้องที่เป็นแอ่งได้
• ปวดท้องส่วนกลาง อาจเป็นโรคที่เกิดขึ้นที่ลำไส้เล็ก และลำไส้ใหญ่ และอาจเป็นไส้ติ่งอักเสบ เพราะมักมีอาการปวดท้องที่บริเวณนี้ก่อน แล้วจึงเลื่อนมาเป็นส่วนล่าง
• ปวดท้องด้านซ้ายตอนบน อาจมีสาเหตุมาจากโรคต่างๆ ที่เกิดในลำไส้ใหญ่ เช่น โรคท้องผูกหรืออาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อลำไส้ใหญ่ แต่หากมีอาการแสบกระเพาะอาหาร ก็อาจเกิดจากกรดและอาการเจ็บปวดเนื่องจากแผลในกระเพาะ
• ปวดท้องด้านขวาตอนล่าง อาจเป็นอาการของไส้ติ่งอักเสบอย่างเฉียบพลัน หรืออาการอักเสบของลำไส้
• ปวดท้องด้านซ้ายตอนล่าง หากมีอาการปวดและคลายสลับกัน พร้อมกับอาการท้องร่วง หรือเกิดจากอาการท้องผูก อาจเกิดจากโรคถุงผนังที่ลำไส้ใหญ่อักเสบ หรือมีความผิดปกติ เช่น ถุงน้ำ หรือเนื้องอกที่รังไข่ หรือมดลูก

2. ท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด
อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียดท้องหลังรับประทานอาหารก็คงเป็นเรื่องปกติของคนสมัยนี้ เพราะได้อาหารที่หลากหลาย กับกิจวัตรที่เร่งรีบทำให้ไม่ทันได้ฉุกคิด แต่จริงๆ แล้ว หากมีอาการเหล่านี้มากๆ ท้องอาจจะเกิดการเกร็งได้ และอาจมีอาการข้างเคียงอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น เรอบ่อย เรอเหม็นเปรี้ยว ผายลมบ่อย ท้องใหญ่ขึ้น หรือท้องผูก และท้องเสียร่วมด้วย ผู้ที่มีอาการดังกล่าวจะยังคงรับประทานอาหารได้ตามปกติ น้ำหนักไม่ลด และส่วนมากมักมีน้ำหนักเกิน อาการเหล่านี้หากเป็นบ่อยๆ อาจสันนิษฐานว่ากระเพาะอาหาร หรือลำไส้ทำงานไม่ปกติ

3. กลืนลำบาก
หากคุณพบว่าตัวเองมีอาการกลืนอาหารได้ลำบากมากขึ้น แสดงว่าอาจจะก้อนเนื้อเกิดขึ้นในหลอดอาหาร ซึ่งอาจจะเป็นก้อนมะเร็งในทางเดินอาหาร หรือหลอดอาหารได้ แต่อาจเป็นเพราะระบบการเคลื่อนไหวของหลอดอาหาร หรือระบบประสาททำงานไม่ดีได้ด้วยเช่นกัน หากกลืนอาหารประเภทของแข็ง เช่น เนื้อสัตว์ แล้วติด โดยเฉพาะตรงกลางอก อาจสันนิษฐานว่ามีก้อนเนื้อ หรือก้อนมะเร็งอยู่ในหลอดอาหาร หรือบริเวณใกล้เคียง แต่หากกลืนอาหารทั้งของเหลว และของแข็งได้ลำบากตั้งแต่ต้น อาจเกิดจากการบีบตัวไม่เป็นจังหวะของหลอดอาหาร อาการนี้อาจเป็นๆ หายๆ ได้เช่นกัน

4. แสบกลางอก
หากพบว่ามีอาการแสบกลางอกในตอนกลางคืน อาจประเมินได้ว่าเป็นโรคกรดไหลย้อน ซึ่งเกิดจากหูรูดที่หลอดอาหารปิดไม่สนิท กรดที่ไหลย้อนขึ้นมานี้อาจทำให้อักเสบ เป็นแผล หรือเลือดออกได้ อาการชัดเจนคือ แสบร้อนกลางอก และจะมีอาการดังกล่าวในเวลานอนตอนกลางคืน เวลานอนอาจจะมีอาการไอ สำลัก หอบ ซึ่งอาจทำให้นึกว่าเป็นโรคปอด โรคหัวใจ แต่ไม่ใช่ ดังนั้นหากมีอาการแสบกลางอกในช่วงเวลากลางคืนต้องนึกถึงกรดไหลย้อนเป็นอันดับแรก อย่างไรก็ตามอาการแสบที่เกิดขึ้นอาจจะเกิดจากกาที่ทานอาหารมื้อหนักมา แล้วไปยกของหนัก หรือไม่ได้นั่งให้อาหารย่อยก่อน ดันนอนเลยแล้วนอนหงายขึ้น อาจจะเกิดการไหลของกรดย้อนขึ้นมาทำให้เกิดอาการแสบได้เช่นกัน

หากอาการผิดปกติดังกล่าวเกิดขึ้นบ่อย มากกว่า 2-3 ครั้งในหนึ่งสัปดาห์ หรือมีอาการเป็นๆ หายๆ บ่อยเกินไป ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพอย่างละเอียดจากแพทย์ เพราะหากปล่อยอาการนี้ไว้นานวันเข้าจะลุกลามเรื่อยๆ โดยไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้รักษายากขึ้น และไม่หายขาดได้

เลือกให้เหมาะกับร่างกาย คาร์ดิโอ หรือ เวทเทรนนิ่ง

จริงๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายประเภทใด ด้วยวิธีไหน ก็ส่งผลดีต่อร่างกายได้ทั้งนั้น เพียงแต่หากเรามีความกังวลในเรื่องของผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น ว่าเป็นไปอย่างที่เราตั้งใจหรือไม่ เช่น ออกกำลังกายเพื่อการลดน้ำหนัก เพื่อการสร้างกล้ามเนื้อ หรือเพื่อให้ได้สุขภาพร่างกายโดยรวมที่แข็งแรงจากภายในสู่ภายนอก วิธีการออกกำลังกายแต่ละอย่างจะให้ผลลัพธ์ที่ไม่เหมือนกัน

คาร์ดิโอ คืออะไร?
การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ เป็นการออกกำลังกายที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อของหัวใจ และปอดให้แข็งแรง ช่วยลำเลียงออกซิเจนเข้าสู่หัวใจ และปอดได้ดียิ่งขึ้น และยังช่วยกระตุ้นอัตราการเต้นของหัวใจ ปรับระดับความดันโลหิตให้เป็นปกติ และยังเผาผลาญพลังงานจากการทานอาหารส่วนเกินได้อีกด้วย

คาร์ดิโอ เหมาะกับใคร?
การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ เหมาะกับผู้ที่มีความกังวลในเรื่องของสุขภาพหัวใจ หลอดเลือด ความดันโลหิต ปอด รวมไปถึงคนที่อยากลดน้ำหยัก ลดความอ้วน และคนที่สนใจดูแลสุขภาพโดยรวม อยากมีภูมิคุ้มกันโรคที่แข็งแรง ชะลอความเสื่อมของส่วนต่างๆ ในร่างกาย อยากให้ตัวเองไม่เหนื่อยง่าย มีแรงเดินวิ่ง หรือขึ้นบันได ปีนเขาได้สบายๆ เป็นต้น

คาร์ดิโอ ออกกำลังกายด้วยวิธีใดบ้าง?
การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือแบบที่มีแรงกระแรกสูง และแรงกระแทกต่ำ

การออกกำลังกายคาร์ดิโอในแบบแรงกระแทกสูง เหมาะสำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้มีปัญหาเรื่องของกระดูก หรือน้ำหนักตัวที่มากเกินไป

  • วิ่ง
  • กระโดดเชือก
  • เต้นแอโรบิก หรือออกกำลังกายด้วยท่าทางพื้นฐานหนักๆ เช่น T25
  • เต้นซุมบ้า

การออกกำลังกายคาร์ดิโอในแบบแรงกระแทกต่ำ เหมาะสำหรับผู้ที่มีความกังวลในปัญหากระดูก เช่น กระดูกข้อเท้า กระดูกหัวเข่า หรือมีน้ำหนักตัวมากเกินไป จึงไม่สามารถรองรับแรงกระแทกที่เกิดขึ้นจากการใช้แรงขาลงกับพื้นหนักๆ

  • ขี่จักรยาน
  • ว่ายน้ำ
  • เดิน
  • พายเรือ
  • ออกกำลังกายบนเครื่องเดินวงรี (Elliptical trainer)
  • ออกกำลังกายด้วยเครื่องปั่นจักรยานท่อนบน (Upper Body Ergometer)
  • ออกกำลังกายในน้ำ

ระยะเวลาในการเล่นคาร์ดิโอ
ไม่ว่าคุณจะเลือกวิธีการออกกำลังกายแบบไหน ขอให้ใช้เวลาอย่างน้อย 30 นาทีเป็นต้นไป และออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีพัก หรือพักในแต่ละครั้งไม่เกิน 5 นาที เลือกระดับความเร็ว และความยากในการออกกำลังกายให้เหมาะสม ไม่มากจนเกินไป เน้นออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องให้นาน มากกว่าที่จะเน้นเรื่องของการทำเวลาให้เร็วแต่ได้ไม่นาน เช่น ความเร็วในการวิ่ง ความชันในการปั่นจักรยาน หรือความยากของท่าแอโรบิกไม่ต้องมาก แต่ขอให้เน้นการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องมากกว่า เมื่อร่างกายปรับคุ้นชินกับระดับเดิมๆ ได้แล้ว ให้ค่อยๆ ปรับท่าให้ยากขึ้น หรือความเร็วให้มากขึ้นทีละเล็กละน้อย

เวทเทรนนิ่ง คืออะไร?
เวทเทรนนิ่ง เป็นการออกกำลังกายฝึกกล้ามเนื้อที่อาศัยแรงของน้ำหนักจากอุปกรณ์ต่างๆ ในการเพิ่มแรงต้านทาน (หรืออาจจะเป็นน้ำหนักของร่างกายตัวเอง) เมื่อเพิ่มแรงต้านทานให้กับกล้ามเนื้อเป็นประจำ จะทำให้กล้ามเนื้อเกิดการปรับตัว และแข็งแรงขึ้น สามารถต้านทานกับแรง หรือน้ำหนักต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น

เวทเทรนนิ่ง เหมาะกับใคร?
การออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่งเหมาะกับคนที่อยากมีรูปร่างทรวดทรงองค์เอวที่กระชับเข้ารูป และได้สัดส่วนมากยิ่งขึ้น รวมทั้งผู้ชายที่อยากเพิ่มกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ หรือสร้างซิกซ์แพ็คบนหน้าท้อง นอกจากเรื่องของรูปร่างแล้ว การเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อยังมีความสำคัญในการเพิ่มความแข็งแรงให้กับร่างกาย สามารถออกแรงได้มากขึ้น เช่น ยกของหนักได้ ออกแรงเตะชกต่อยได้แรงขึ้น เป็นต้น นอกจากนี้ยังเป็นผลดีต่อร่างกายโดยรวมเมื่ออายุมากขึ้น มวลของกล้ามเนื้อจะค่อยๆ ลดลง ดังนั้นหากรักษาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเอาไว้เหมือนเดิม นอกจากรูปร่างจะกระชับเป็นสัดส่วนได้เหมือนเดิมแล้ว ยังช่วยลดไขมันตามอวัยวะต่างๆ ได้อย่างเห็นผลอีกด้วย

เวทเทรนนิ่ง ออกกำลังกายด้วยวิธีใดบ้าง?
การออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง จำเป็นต้องมีตัวช่วยที่เพิ่มแรงต้านทานให้กับกล้ามเนื้อ ได้แก่ ดัมเบล ตุ้มน้ำหนัก อุปกรณ์ยกน้ำหนักต่างๆ ในฟิตเนส หรืออาจจะเป็นการออกกำลังกายโดยใช้น้ำหนักของตัวเองเป็นแรงต้านทานเอง เช่น บาร์โหนตัว เป็นต้น

คนที่เริ่มต้นออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่งเป็นครั้งแรก ควรได้รับคำแนะนำจากเทรนเนอร์ หรือผู้เชี่ยวชาญก่อน เพราะหากใช้น้ำหนัก หรือท่าทางในการออกกำลังกายผิดวิธี อาจก่อให้เกิดอาการบาดเจ็บ กล้ามเนื้อฉีกขาด หรือถึงขั้นกระดูกหักได้ หรืออาจจะค้นหาคลิปวิดีโอในอินเตอร์เน็ต แล้วออกท่าทางตามในคลิปอย่างเคร่งครัดได้เช่นกัน

ระยะเวลาในการเล่นเวทเทรนเนอร์
น้ำหนักที่ใช้ยกในเบื้องต้น ควรเริ่มจากน้ำหนักเบาๆ ก่อน เน้นน้ำหนักที่ไม่หนักมาก แต่ยกได้หลายครั้ง ดีกว่าการเลือกน้ำหนักที่หนักมาก แต่ยกได้ไม่นาน ฝึกในน้ำหนักที่คิดว่าพอทนไหวไปราวๆ 3-4 สัปดาห์ แล้วจึงค่อยๆ เพิ่มน้ำหนักมากขึ้น หรือเพิ่มความยากของท่าที่ใช้ออกกำลังกายมากขึ้นทีละเล็กละน้อย ที่สำคัญคือการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องราว 30 นาทีขึ้นไป หรือพักในแต่ละครั้งไม่เกิน 5 นาที

นอกจากนี้พยายามเล่นเวทเทรนนิ่งให้ได้หลายๆ ส่วน อย่าเน้นไปที่ส่วนใดส่วนเดียว เช่น เขน ขา หน้าท้อง สะโพก แตต่ให้เล่นสลับๆ กันไปในแต่ละวัน เช่น วันจันทร์เล่นส่วนขากับสะโพก วันอังคารเล่นส่วนหน้าท้องกับแขน เป็นต้น เพราะหากมีอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อ จะได้พักกล้ามเนื้อส่วนนั้นแล้วไปเล่นกล้ามเนื้อส่วนอื่นก่อนแทน

เราเหมาะกับการออกกำลังกายแบบไหน?
จริงๆ แล้ว อยากแนะนำให้ออกกำลังกายทั้งสองอย่างควบคู่กันไปด้วย เพราะหากอยากคาร์ดิโอให้ได้เต็มที่ ต้องอาศัยกล้ามเนื้อที่แข็งแรงในการวิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน หรือเต้นแอโรบิก รวมถึงการเวทเทรนนิ่งที่ยังต้องการคาร์ดิโอมาเสริมให้มีพละกำลังที่จะออกแรงมากๆ ได้เรื่อยๆ เช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม หมอผิง หรือ พญ. ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล อธิบายว่า ลำดับการออกกำลังกายก็ให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันได้ หากอยากเน้นการเผาผลาญพลังงานเพื่อการลดน้ำหนัก และเน้นกระชับรูปร่าง สร้างกล้ามเนื้อ ให้เล่นเวทเทรนนิงก่อนคาร์ดิโอ แต่ถ้าหากอยากเน้นพัฒนาการในการวิ่ง เพื่อการวิ่งมาราธอน ควรวิ่ง หรือเล่นคาร์ดิโอก่อนเวทเทรนนิ่ง หรือออกกำลังกายแต่ละประเภทแยกไปในแต่ละวัน

นอกจากนี้ หากมีอายุที่มากขึ้นแล้ว ร่างกายอาจไม่แข็งแรงเท่าสมัยยังเป็นวัยรุ่น วัยทำงาน อาจลองออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอเบาๆ ก่อน แล้วค่อยเริ่มเล่นเวทเทรนนิ่งต่อ เพื่อลดความเสี่ยงในการได้รับบาดเจ็บจากการออกกำลังกายได้

ทานยาเยอะๆมีผลต่อตับจริงหรือไม่และทำให้เป็นไขมันพอกตับได้รึเปล่า ?

ทานยาเยอะๆมีผลต่อตับจริงหรือไม่และทำให้เป็นไขมันพอกตับได้รึเปล่า ?

หลายคนสงสัยว่าหากเราทานยาเยอะๆติดต่อกันเป็นเวลานาน จะทำให้ส่งผลเสียต่อเราหรือไม่ จริงๆการทานยา ไม่ว่าจะเป็นยาปฏิชีวนะ หรือยาบำรุง อาหารเสริม ก็ล้วนแต่มีผลต่อตับของเราทั้งสิ้น
จริงๆหน้าที่ของตับนั้น จะทำหน้าที่ในการขับยาที่หลงเหลืออยู่ในร่างกายของเราออกไป ผู้ที่ทานยาและอาหารเสริมจำนวนมากเป็นระยะเวลานาน จึงมักจะกังเวล แต่เราควรจะทานยาอย่างไรหละเพื่อไม่ให้ตับของเราพัง
จากข้อมูลสารบัญยา ในปัจจุบันมียามากกว่า 900 ชนิดที่มีข้อมูลว่ามีผลต่อการทำงานของตับได้ แม้ว่ายานั้นจะมีส่วนผสมของสมุนไพรก็ตาม และยาและอาหารเสริมเหล่านี้จะมีผลต่อตับของเรามากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับหลายๆปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น
  • อายุ
  • เพศ
  • เชื้อชาติ
  • หรือการดื่มแอลกอฮอล์
  • รวมไปถึงโรคประจำตัวอื่นๆก็มีผลทั้งสิ้น
แต่ถ้าหากคุณจำเป็นที่จะต้องทานยาและอาหารเสริมในปริมาณมากๆและเป็นระยะเวลานาน แต่ก็ยังกังวลเรื่องสุขภาพและการทำงานของตับ มาลองทำตาม 3 ข้อง่ายๆกันดีกว่าค่ะ เริ่มกันที่
1. ดื่มน้ำให้เพียงพอเป็นประจำ
น้ำเป็นสิ่งสำคัญของร่างกาย ไม่ว่าใครๆก็ไม่สามารถขาดน้ำได้ น้ำจะเป็นตัวช่วยให้ตับระบายของเสียต่างๆออกไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลดภาระการทำงานของตับที่ทำงานหนักเกินไป หากปกติคุณดื่มน้ำ 8-10 แก้วต่อวัน แต่ถ้าเป็นช่วงที่จะต้องทานยา ก็ให้ดื่มน้ำต่อวันให้มากกว่าเดิม
2. หากรู้สึกว่าตับมีปัญหาให้รีบไปพบแพทย์ทันที
หากคุณเป็นคนที่ไม่เคยตรวจสุขภาพ ไม่เคยรู้เลยว่าตับของตัวเองนั้นปกติหรือไม่ ให้รีบไปตรวจ อย่ารอให้มีอาการ หรือถ้ารู้สึกไม่ดีในช่วงทานยา ก็ให้รีบแจ้งแพทย์ เนื่องจากยาบางตัวอาจจะทำให้อาการของคุณแย่ลงก็ได้
3. รับประทานอาหารที่เน้นบำรุงตับ
มีอาหารมากมายที่สามารถช่วยบำรุงตับของคุณให้แข็งแรง ลดการทานน้ำตาล และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมไปถึงอาหารแปรรูป เพราะจะมีสิ่งตกค้างสูง เพียงแค่สามข้อนี้ก็สามารถลดภาระการทำงานของตับได้แล้ว ดังนั้นการทานยามากๆ ไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้ตับเราพังเสมอไป มันมีปัจจัยอื่นๆอีกมากมายร่วมด้วย ท่านใดที่จำเป็นต้องทานยาก็ไม่ต้องกังวลไป แต่ก็ควรดูแลสุขภาพควบคู่ไปด้วยจะดีที่สุด