ปวดหลังเรื้อรัง อย่านิ่งนอนใจ

ปวดหลังเรื้อรัง อันตรายที่ไม่ควรมองข้าม

พบการรักษาอาการปวดหลังเรื้อรังเต็มรูปแบบกับสถาบันโรคกระดูกสันหลังกรุงเทพ รพ.กรุงเทพ

โรค Office Syndrome เป็นปัญหาสุขภาพที่มักพบบ่อยในคนวัยทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนทำงานออฟฟิศที่ต้องนั่งอยู่กับที่ และ

จ้องจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงในการป่วยเป็นโรค Office Syndromeได้มากกว่ากลุ่มอื่น ส่วนใหญ่เป็นอาการที่เกิดจาก

การอักเสบ และเกร็งตัวของกล้ามเนื้อทำให้เกิดอาการปวดคอ ปวดตามตัวรวมถึงการปวดหลังเรื้อรังตามมา

นพ.สาริจฉ์ ศรีสุภาพ ศัลยแพทย์กระดูกสันหลัง สถาบันโรคกระดูกสันหลังกรุงเทพ โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า การปวดหลังเรื้อรังถือเป็นลักษณะอาการสำคัญอย่างหนึ่งของโรค Office Syndrome ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทำงานออฟฟิศในทุกระดับตั้งแต่ผู้บริหาร พนักงานปฏิบัติการ รวมถึงงานในสายการผลิต ซึ่งเกิดจากมูลเหตุสำคัญ 2 ประการด้วยกันคือ คุณภาพของกล้ามเนื้อที่แย่ลง จากการขาดความเอาใส่ใจในการออกกำลังกาย และประการที่สองอิริยาบทในการทำงานที่ไม่เหมาะสม เช่น การนั่งนาน การนั่งหลังค่อม นั่งยกไหล่ หรือแม้แต่การปรับตำแหน่งจอคอมพิวเตอร์สูง หรือต่ำจนเกินไป ส่งผลให้ต้องก้มหรือเงยจนก่อให้เกิดอาการปวดคอและปวดหลังเรื้อรัง แต่ก็นับว่าโชคดีที่อาการปวดตามส่วนต่างๆ โดยเฉพาะบริเวณหลังที่เกิดจากโรค Office Syndrome ส่วนใหญ่เมื่อเป็นแล้วมักจะไม่รุนแรง สามารถทุเลาได้เองหากได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอหรือได้รับการรักษาในเบื้องต้นอย่างเช่น การประคบเย็น ประคบร้อน หรือการรับประทานยา เป็นต้น

“โรค Office Syndromeสามารถป้องกันได้ด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 30 นาที ทุกๆ 4-5 วันต่อสัปดาห์ เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ นอกจากนี้คนทำงานออฟฟิศที่ต้องนั่งนานๆ ทั้งหลายยังควรพักและเปลี่ยนอิริยาบทในทุกๆ 1-2 ชม.เพื่อให้กล้ามเนื้อที่ทำงานหนักและล้าได้ผ่อนคลาย ด้วยวิธีง่ายๆ อย่างเช่น การบิดขี้เกียจหรือที่เรียกว่า การ Streching คือการเหยียดกล้ามเนื้อให้ตึงและทิ้งไว้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและลดอาการเกร็งตัว ตลอดจนอาการปวดกล้ามเนื้อได้มาก”

อย่างไรก็ดีจะพบว่ามีโรคเกี่ยวกับกระดูกสันหลังบางโรคที่มีรูปแบบอาการคล้ายคลึงและแฝงตัวมาในลักษณะของโรค Office Syndrome แต่มีความรุนแรงและเสี่ยงต่อการเป็นโรคทางกระดูกสันหลังที่ร้ายแรง เช่น กระดูกสันหลังตีบแคบไปเบียดเส้นประสาท หรือหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท วิธีสังเกตอาการของโรคเกี่ยวกับกระดูกสันหลัง ส่วนใหญ่เมื่อมีอาการปวดร่วมกับการชา ปวดร้าวไปยังบริเวณอื่นๆ ของร่างกาย การควบคุมการทำงานของอวัยวะผิดเพี้ยน เช่น ลายมือเปลี่ยน หรือมีอาการ night pain คือการปวดอย่างรุนแรงในตอนกลางคืน นอกจากนี้เมื่อได้พักผ่อนและรับการรักษาในเบื้องต้นแล้วอาการดังกล่าวยังคงไม่ดีขึ้น ให้สงสัยว่าเป็นอาการปวดหลังที่ไม่ปกติจึงควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้อง

นพ.สาริจฉ์ ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า แพทย์ที่มีความชำนาญจะมีขั้นตอนในการพิจารณาอาการอย่างละเอียดก่อนให้การรักษา โดยมีหลักเกณฑ์สำคัญ 4 ประการ คือ

1.ความรุนแรงของอาการปวด ดูว่าคนไข้มีอาการปวดที่ไปรบกวนการทำกิจวัตรประจำวันมากน้อยเพียงใด

2.ความต้องการยาเพื่อควบคุมอาการปวดนั้น

3.การตรวจร่างกายและพบว่ามีอาการรบกวนเส้นประสาท เช่น ผู้ป่วยรู้สึกชาหรืออ่อนแรงมากขึ้น รวมถึงการคดของกระดูกสันหลัง

4.ข้อมูลจากการตรวจพิเศษ เช่น เอกซเรย์ MRI ในกรณีที่จำเป็น

“หลังจากประเมินอาการตามหลักเกณฑ์ทั้ง 4 ประการที่กล่าวมาแล้ว แพทย์จะแนะนำวิธีการรักษาซึ่งสามารถทำได้ตั้งแต่การรักษาเบื้องต้นโดยการปรับเปลี่ยนอิริยาบท ควบคุมน้ำหนักตัว การรับประทานยา รวมไปถึงการทำกายภาพบำบัด แต่หากอาการไม่ดีขึ้นการรักษาเฉพาะทางด้วยวิธีการผ่าตัดจะเข้ามาเป็นทางเลือกหนึ่งของการรักษาโรคทางกระดูกสันหลังที่มีประสิทธิภาพ”

โรงพยาบาลกรุงเทพ เป็นหนึ่งในโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำที่มุ่งมั่นให้การรักษาผู้ป่วยอย่างมีคุณภาพได้มาตรฐานสากล ล่าสุดได้จัดตั้งสถาบันกระดูกสันหลังกรุงเทพขึ้นเพื่อทำหน้าที่ในการรักษาผู้ป่วยโรคทางกระดูกสันหลังอย่างเต็มรูปแบบผ่านการทำงานร่วมกันระหว่างศัลยแพทย์กระดูกสันหลังและศัลยแพทย์ระบบประสาท พร้อมด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์และเทคโนโลยีในการรักษาที่ทันสมัยช่วยให้การผ่าตัดสามารถทำได้เร็วขึ้น แผลผ่าตัดเล็กเจ็บน้อย ช่วยลดอัตราเสี่ยง และใช้เวลาในการพักฟื้นไม่นาน ประกอบด้วย

1. กล้องผ่าตัดทางจุลศัลยกรรม (Microscope) เป็นกล้องขยายกำลังสูงที่ช่วยให้แพทย์มองเห็นเส้นประสาท และหมอนรองกระดูกสันหลังที่ต้องการแก้ไขได้ชัดเจน ทั้งยังมีแสงไฟจากตัวกล้องส่องตรงไปยังบริเวณจุดที่เป็นปัญหาทำให้สามารถมองเห็นได้ทุกซอกมุม ป้องกันโอกาสที่เส้นประสาทจะได้รับความบอบช้ำอันเป็นสาเหตุให้เกิดอาการแทรกซ้อนหลังผ่าตัด ทั้งยังช่วยลดความจำเป็นในการเปิดแผลขนาดใหญ่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการเจ็บน้อยลงและฟื้นตัวได้เร็วขึ้น

2. เครื่องช่วยผ่าตัดด้วยระบบคอมพิวเตอร์สร้างภาพแบบสามมิติ ประกอบด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์โออาร์ม (O-Arm) ที่ทำงานร่วมกับเครื่องมือผ่าตัดนำวิถี (Navigation system) เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการผ่าตัด โดยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์จะบันทึกภาพกระดูกสันหลังขณะผ่าตัด แสดงผลในรูปอนิเมชั่น 3 มิติ เมื่อทำงานร่วมกับเครื่องนำวิถี (Stealth) จะช่วยให้การประเมินระยะและการกำหนดตำแหน่งผ่าตัดทำได้แม่นยำมากถึงระดับมิลลิเมตร

3. เครื่องมือติดตามการทำงานของระบบประสาทขณะผ่าตัด (Intraoperative Monitoring : IOM) ช่วยติดตามการทำงานของระบบประสาทในรูปคลื่นไฟฟ้า และส่งสัญญาณเตือนให้แพทย์รับทราบถึงโอกาสเสี่ยงในการสร้างความบอบช้ำหรือความเสียหายต่อเส้นประสาท เหมาะสำหรับการผ่าตัดซ้ำหรือการผ่าตัดในกรณียากๆ เช่น ภาวะกระดูกสันหลังผิดรูป กระดูกสันหลังเคลื่อนอย่างรุนแรง เป็นต้น

นพ.สาริจฉ์ ได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า ถึงแม้ทางโรงพยาบาลกรุงเทพจะมีความพร้อมทั้งบุคลากรที่มีคุณภาพและเทคโนโลยีอันทันสมัยในการดูแลรักษาผู้ป่วยแต่การเอาใจใส่ดูแลร่างกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้การรักษาสามารถทำได้อย่างสมบูรณ์และก่อให้เกิดผลสำเร็จสูงสุด